วิธีซัพพอร์ตลูก ม.3 พิชิตสอบเข้า ม.4 แบบ 'โค้ช' มืออาชีพ

Last updated: 11 ส.ค. 2568  |  43 จำนวนผู้เข้าชม  | 

วิธีซัพพอร์ตลูก ม.3 พิชิตสอบเข้า ม.4 แบบ 'โค้ช' มืออาชีพ

เมื่อลูกก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและต้องเผชิญกับสนามสอบเข้า ม.4 ที่เปรียบเสมือนประตูบานสำคัญสู่อนาคต บทบาทของคุณพ่อคุณแม่ก็จำเป็นต้อง "ปรับเปลี่ยน" ไปตามวัยของเขา จากเดิมที่เราอาจเคยเป็น "ผู้จัดการ" ที่คอยวางแผนและจัดการให้ทุกอย่างตอนสอบเข้า ม.1 ถึงเวลาแล้วที่เราจะเปลี่ยนบทบาทมาเป็น "โค้ช" มืออาชีพ ที่คอยให้คำปรึกษา, เสริมสร้างกำลังใจ, และสนับสนุนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของลูก

การเป็น "โค้ช" ที่ดีในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ลูกมีโอกาสสอบติดมากขึ้น แต่ยังช่วยรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวท่ามกลางช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความเครียดอีกด้วย

 

The Coach's Playbook: 5 บทบาทสำคัญของพ่อแม่ยุค ม.3
 
1. ที่ปรึกษาด้านเป้าหมาย (The Goal-Setting Consultant)
 
ในวัยนี้ ลูกควรเป็นคนตัดสินใจเลือกเส้นทางของตัวเอง หน้าที่ของเราคือการให้ข้อมูลและเป็นที่ปรึกษา

DO: นั่งคุยกับลูกอย่างเปิดอก ถามคำถามนำเพื่อช่วยให้เขาสำรวจตัวเอง เช่น "ลูกชอบวิชาไหนเป็นพิเศษ?" "มีความฝันอยากทำอาชีพอะไรในอนาคต?" "ลองดูข้อมูลสายการเรียนต่างๆ กันไหมว่าแต่ละสายเรียนอะไรบ้าง?" ช่วยลูกหาข้อมูลโรงเรียนเป้าหมายและ ความเชื่อมโยงกับระบบ TCAS ในอนาคต
DON'T: ตัดสินใจแทนลูกทั้งหมด หรือบังคับให้ลูกเลือกสายการเรียนที่เราต้องการ
 

2. ผู้อำนวยการฝ่ายพลาธิการ (The Logistics Director)
 
หน้าที่ของเราคือดูแล "เบื้องหลัง" ทั้งหมด เพื่อให้ลูกมีสมาธิกับการเตรียมตัวได้อย่างเต็มที่

DO: จัดสภาพแวดล้อมที่บ้านให้เงียบสงบเหมาะกับการอ่านหนังสือ, เตรียมอาหารและของว่างที่มีประโยชน์, ช่วยจัดหาหนังสือหรือคอร์สเรียนที่ลูกต้องการ, และช่วยลูกวาง ตารางอ่านหนังสือ โดยให้เขาเป็นคนกำหนดและเราช่วยดูแลภาพรวม
DON'T: จ้ำจี้จ้ำไชทุกเรื่อง หรือเข้าไปก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวของลูกมากเกินไป
 

3. นักจิตวิทยาประจำทีม (The Team Psychologist)
 
บทบาทนี้สำคัญที่สุด! ความเครียดและความกดดันของเด็ก ม.3 นั้นหนักหนาสาหัสมาก

DO: เป็นผู้รับฟังที่ดี เปิดโอกาสให้ลูกได้ระบายความกังวลหรือความเหนื่อยล้าโดยไม่ตัดสิน เมื่อลูกทำคะแนนฝึกซ้อมได้ไม่ดี ให้มองมันเป็นแค่ "ข้อมูล" แล้วพูดว่า "ดีเลย! ตอนนี้เรารู้แล้วว่าต้องไปทบทวนเรื่องไหนเพิ่ม"
DON'T: ซ้ำเติมเมื่อลูกทำพลาด หรือแสดงความวิตกกังวลของเราเองออกมาจนลูกรู้สึกกดดันมากขึ้น
 

4. กองเชียร์ที่เสียงดังที่สุด (The Loudest Cheerleader)
 
กำลังใจจากพ่อแม่คือพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

DO: ชื่นชมที่ "ความพยายาม" และ "ความรับผิดชอบ" ของลูก ไม่ใช่แค่ที่ "ผลคะแนน" การพูดว่า "พ่อ/แม่เห็นนะว่าลูกพยายามอ่านหนังสือทุกวัน ภูมิใจในตัวลูกมาก" มีความหมายมากกว่าคำชมเรื่องเกรดเสียอีก
DON'T: เปรียบเทียบลูกกับคนอื่นอย่างเด็ดขาด
 

5. ผู้จัดการความคาดหวัง (The Expectation Manager)
 
จัดการความคาดหวังทั้งของตัวเราเองและของลูก

DO: พูดคุยถึงแผนสำรอง (Plan B, Plan C) ไว้ล่วงหน้า ว่าถ้าผลไม่เป็นไปตามฝัน เรามีทางเลือกอื่นอะไรรออยู่บ้าง จะช่วยลดความกดดันแบบ "หลังชนฝา" ได้
DON'T: สร้างบรรยากาศว่า "ต้องสอบติดที่นี่ที่เดียวเท่านั้น"
 
บทสนทนาที่ "ควรเลี่ยง" และ "ควรพูด"
 
ควรเลี่ยง: "ทำไมคะแนนไม่ดีเท่าลูกป้าข้างบ้าน?", "ถ้าสอบไม่ติดจะทำยังไง?", "อ่านอีกสิ ทำไมพักแล้ว?"
ควรพูด: "มีอะไรให้พ่อ/แม่ช่วยไหมลูก?", "เหนื่อยไหม พักก่อนก็ได้นะ", "ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง พ่อ/แม่ก็รักและอยู่ข้างๆ ลูกเสมอ"

บทบาทของ "โค้ช" คือการสร้างความเชื่อมั่นให้ "นักกีฬา" ของเราลงสนามไปด้วยความรู้สึกที่ว่า เขามีศักยภาพที่จะชนะ และถึงแม้จะแพ้ เขาก็ยังมีทีมที่แข็งแกร่งและอบอุ่นรออยู่ข้างสนามเสมอ การสนับสนุนด้วยความเข้าใจ คือ "คอร์สติว" ที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะมอบให้ลูกได้ครับ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้