ทำไมต้องมี TCAS? พี่จะเล่าให้ฟังว่าระบบสอบเข้ามหา'ลัยสมัยก่อนโหดแค่ไหน!

Last updated: 23 ก.ค. 2568  |  25 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ทำไมต้องมี TCAS? พี่จะเล่าให้ฟังว่าระบบสอบเข้ามหา'ลัยสมัยก่อนโหดแค่ไหน!

TCAS คืออะไร? พี่สรุปให้! หายงงใน 5 นาที พร้อมลุยสอบเข้ามหา'ลัย

น้องๆ หลายคนอาจจะกำลังคิดว่า "TCAS นี่มันวุ่นวายจัง ทำไมต้องมีหลายรอบให้ปวดหัวด้วยนะ?" หรือ "ทำไมต้องมีกฎ 1 คน 1 สิทธิ์อะไรนี่ด้วย?"

ใจเย็นๆ ก่อนนะน้อง... เชื่อพี่ไหมว่า ถ้าน้องได้เจอกับระบบสอบเข้ามหา'ลัยในยุคก่อนหน้านี้ น้องอาจจะอยากขอบคุณคนคิดค้นระบบ TCAS ขึ้นมาเลยก็ได้นะ! 

วันนี้พี่เลยจะขอพาน้องๆ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูกันว่า "ระบบ Admission" ในตำนานที่พี่ๆ เคยผ่านมามันเป็นยังไง แล้วทำไมสุดท้ายเขาถึงต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบ TCAS ที่เราเห็นกันทุกวันนี้

ภาพจำของระบบสอบเข้าฯ ยุคก่อน TCAS (ที่พี่ๆ ร้องไห้กันมาแล้ว)

ก่อนจะมี TCAS การสอบเข้ามหา'ลัยเต็มไปด้วยความโกลาหลและความกดดันมหาศาล ซึ่งปัญหาหลักๆ ที่เจอ มีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ

#1 สงครามรับตรง: วิ่งรอกสอบทั่วประเทศ!
สมัยก่อน แต่ละคณะ แต่ละมหา'ลัย จะเปิด "รับตรง" ของตัวเองกันอย่างอิสระเต็มที่! หมายความว่า...

  • สอบไม่พร้อมกัน: คณะ A อาจจะสอบวันเสาร์นี้ คณะ B สอบวันอาทิตย์หน้า
  • ข้อสอบคนละชุด: แต่ละที่ก็ออกข้อสอบของตัวเอง

จ่ายเงินหลายรอบ: สมัคร 10 ที่ ก็ต้องจ่ายค่าสมัคร 10 ครั้ง
ภาพที่เห็นจนชินตาคือเด็ก ม.6 ต้องหอบสังขารพร้อมกระเป๋าเดินทาง ตระเวนสอบเสาร์-อาทิตย์ไปทั่วประเทศ บางคนต้องบินไปเชียงใหม่ สัปดาห์ถัดมาลงไปสอบที่ขอนแก่น เสียทั้งพลังงาน ทั้งเวลา และที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่ายบานปลายสุดๆ ทั้งค่าสมัครสอบ ค่าเดินทาง ค่าที่พัก เรียกว่าเหนื่อยทั้งกายทั้งใจ แถมยังเปลืองเงินผู้ปกครองอีกด้วย

#2 ปัญหาโลกแตก: การ "กั๊กที่เรียน"
นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดของระบบเก่าเลย! ลองนึกภาพตามนะ...

เด็กเก่งมากๆ คนหนึ่ง อาจจะฟิตจัดจนสอบติด "รับตรง" ถึง 10 ที่! แต่สุดท้ายแล้วคนเราก็เลือกเรียนได้แค่ที่เดียวใช่ไหม? ผลก็คือ... อีก 9 ที่นั่งที่เขาเคย "จอง" ไว้ ก็กลายเป็นที่ว่างไปเลย

มหา'ลัยก็ไม่ได้นักเรียนที่อยากได้ ส่วนเพื่อนๆ ของเราที่คะแนนเกือบจะถึง หรืออยู่ในลำดับสำรอง ก็พลาดโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียดายมากๆ เป็นปัญหาที่สร้างความเหลื่อมล้ำแบบสุดๆ

#3 สนามสอบกลาง Admission: วัดใจครั้งเดียว พลาดแล้วพลาดเลย!
นอกจากรับตรงแล้ว ก็ยังมีรอบแอดมิชชันกลางที่ใช้คะแนน O-NET, GAT/PAT เหมือนกัน แต่... มันคือการยื่นคะแนนแค่ ครั้งเดียว เลือกได้ 4 อันดับ เท่านั้น!

ไม่มีรอบ Portfolio ให้โชว์ของก่อน ไม่มีรอบ Quota แยกชัดเจน ไม่มีรอบเก็บตกให้แก้ตัว พลาดคือพลาด! หลุดจาก 4 อันดับนั้นคือต้องรอสอบใหม่ปีหน้าเลย หรือไปหามหา'ลัยที่ยังรับเพิ่มเองซึ่งมีน้อยมาก ความกดดันมันเลยสูงแบบสุดขีด ชี้ชะตากันในวันประกาศผลวันเดียวเลย

แล้ว TCAS เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?
พอเห็นปัญหาแล้วใช่ไหม? TCAS ก็เลยถือกำเนิดขึ้นมาเป็น "ฮีโร่" เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้แหละ

1. แก้ปัญหา "วิ่งรอกสอบ" -> จัดระเบียบด้วย 4 รอบชัดเจน
TCAS จัดไทม์ไลน์ให้เลยว่าช่วงไหนเป็นของรอบไหน น้องๆ จะได้โฟกัสไปทีละรอบ ไม่ต้องวิ่งสอบสะเปะสะปะเหมือนก่อน

2. แก้ปัญหา "กั๊กที่" -> ใช้กฎ "1 คน 1 สิทธิ์"
นี่คือหมัดเด็ดของ TCAS! เมื่อน้องยืนยันสิทธิ์ที่ไหนแล้ว ระบบจะตัดสิทธิ์น้องจากรอบถัดไปทันที เป็นการบังคับให้เกิดการ "สละที่นั่ง" เพื่อส่งต่อโอกาสให้เพื่อนคนอื่นโดยอัตโนมัติ แฟร์สุดๆ!
 
3. แก้ปัญหา "กดดันครั้งเดียว" -> เพิ่มทางเลือกที่หลากหลาย
TCAS เปิดประตูหลายบานมากขึ้น ไม่ได้วัดกันที่คะแนนสอบอย่างเดียวอีกต่อไป
  • เก่งกิจกรรม มีผลงานโดดเด่น? -> ไป รอบ Portfolio
  • มีคุณสมบัติพิเศษ เป็นเด็กในพื้นที่? -> ไป รอบ Quota
  • พลาดจาก 2 รอบแรก? -> ยังมี รอบ Admission และ รอบ Direct Admission ให้สู้ต่อ

สรุปส่งท้าย
 
สรุปง่ายๆ ก็คือ TCAS เกิดมาเพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความวุ่นวาย และกระจายโอกาสให้น้องๆ ทุกคน นั่นเอง

แน่นอนว่าระบบ TCAS ก็อาจจะยังไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100% และมีการปรับเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ แต่พอได้ย้อนกลับไปดูระบบเก่าแล้ว น้องๆ คงเห็นภาพชัดขึ้นใช่ไหมว่ามันช่วยแก้ปัญหาใหญ่ๆ ในอดีตไปได้เยอะเลยทีเดียว!

พอเข้าใจที่มาที่ไปของมันแล้ว เราก็จะวางแผนรับมือกับมันได้ดีขึ้น! ไปลุยกันต่อในบทความหน้าได้เลย! ฝากติดตามด้วยนะ พี่จะรวบรวมเกร็ดความรู้ เคล็บลับการสอบมาให้เรื่อยๆจ้า


Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้