รีวิวคณะเภสัชศาสตร์: เรียนอะไร? จบแล้วทำงานที่ไหนได้บ้าง?
หลายคนอาจคิดว่า "เภสัชกร" คือผู้ที่ใส่เสื้อกาวน์ยืนจ่ายยาอยู่ในร้านขายยาเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกของเภสัชกรรมนั้นกว้างใหญ่และมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ต้นน้ำอย่างการคิดค้นและผลิตยา ไปจนถึงปลายน้ำคือการดูแลให้ผู้ป่วยใช้ยาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
คณะเภสัชศาสตร์เป็นวิชาชีพที่ต้องใช้ความรู้ทางเคมีและชีววิทยาอย่างเข้มข้น และเป็นหนึ่งในคณะของกลุ่ม กสพท วันนี้ Tutorwa Channel จะพาไปเจาะลึกหลักสูตร 6 ปี และเปิดโลกอาชีพของเภสัชกรที่หลากหลายกว่าที่คิดครับ/ค่ะ
เภสัชกร... ไม่ใช่แค่คนจ่ายยา แต่คือ "ผู้เชี่ยวชาญด้านยา"
หัวใจของวิชาชีพเภสัชกรรม คือการเป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกมิติที่เกี่ยวกับ "ยา" ตั้งแต่โครงสร้างทางเคมี, การออกฤทธิ์, การผลิต, การควบคุมคุณภาพ ไปจนถึงการให้คำแนะนำเพื่อให้เกิดการใช้ยาที่สมเหตุสมผลและปลอดภัยที่สุด
หลักสูตร 6 ปี (เภสัชศาสตรบัณฑิต) เรียนอะไรกันบ้าง?
หลักสูตรเภสัชศาสตร์ในปัจจุบันเป็นหลักสูตร 6 ปี เมื่อเรียนจบจะได้รับวุฒิ "เภสัชศาสตรบัณฑิต (Doctor of Pharmacy หรือ Pharm.D.)"
- ปี 1-2 (ชั้นเตรียมเภสัชศาสตร์): เรียนวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่เข้มข้นมาก โดยเฉพาะ "วิชาเคมี" (โดยเฉพาะเคมีอินทรีย์) และ "ชีววิทยา" ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของวิชาชีพ นอกจากนี้ก็มีวิชาอื่นๆ เช่น ฟิสิกส์, แคลคูลัส
- ปี 3-4 (ชั้นวิชาชีพเภสัชกรรม): เป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่แก่นของวิชาชีพอย่างเต็มตัว จะได้เรียนวิชาเฉพาะทาง เช่น:
- เภสัชวิทยา (Pharmacology): ศึกษาการออกฤทธิ์ของยาต่อร่างกาย
- เภสัชเคมี (Medicinal Chemistry): ศึกษาโครงสร้างทางเคมีของยา
- เทคโนโลยีเภสัชกรรม (Pharmaceutics): ศึกษาการผลิตและพัฒนารูปแบบยา เช่น ยาเม็ด, ยาน้ำ, ยาฉีด
- เภสัชเวท (Pharmacognosy): ศึกษาเกี่ยวกับยาที่มาจากธรรมชาติ เช่น พืชและสมุนไพร
- ปี 5 (ชั้นเลือกสายเฉพาะทาง): เป็นปีที่สำคัญที่น้องๆ จะต้องเลือกเรียนในสาขาที่ตัวเองสนใจ ซึ่งโดยหลักๆ จะแบ่งเป็น 2 สายใหญ่ๆ คือ:
- สายบริบาลทางเภสัชกรรม (Pharmaceutical Care): เน้นการดูแลผู้ป่วยโดยตรง เรียนรู้เรื่องโรคต่างๆ และการใช้ยาในการรักษา เหมาะสำหรับคนที่อยากทำงานในโรงพยาบาลหรือร้านยา
- สายเภสัชอุตสาหการ/เภสัชศาสตร์ (Industrial Pharmacy/Pharmaceutical Sciences): เน้นเรื่องการผลิตและพัฒนาตัวยา ตั้งแต่การวิจัย, การควบคุมคุณภาพ, การตลาด ไปจนถึงการขึ้นทะเบียนยา เหมาะสำหรับคนที่อยากทำงานในโรงงานผลิตยาหรือบริษัท
- ปี 6 (ชั้นฝึกงาน): เป็นปีแห่งการฝึกปฏิบัติงานจริง (Internship) น้องๆ จะได้ออกไปฝึกงานตามแหล่งต่างๆ ทั้งโรงพยาบาล, ร้านยา, โรงงานผลิตยา, หรือหน่วยงานของรัฐ ตามสายที่ตัวเองได้เลือกเรียนมา
จบเภสัช ทำงานที่ไหนได้บ้าง? (เปิดโลกอาชีพเภสัชกร)
นี่คือส่วนที่น่าสนใจที่สุด เพราะเภสัชกรสามารถทำงานได้หลากหลายสายงานมากค่ะ
1. สายบริบาลผู้ป่วย (Patient Care):
- เภสัชกรโรงพยาบาล: ทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ในการดูแลการใช้ยาของผู้ป่วยในโรงพยาบาล
- เภสัชกรร้านยา (ชุมชน): เป็นด่านแรกในการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพและยาแก่คนทั่วไป
2. สายอุตสาหกรรม (Industrial Sector):
- ฝ่ายผลิตและควบคุมคุณภาพ (Production/QA/QC): ควบคุมกระบวนการผลิตและตรวจสอบคุณภาพยาในโรงงาน
- ฝ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D): คิดค้นและพัฒนายาใหม่ๆ
- ผู้แทนยา (Medical Representative) และฝ่ายการตลาด (Marketing): ใช้ความรู้ทางเภสัชศาสตร์ในการนำเสนอข้อมูลและทำการตลาดผลิตภัณฑ์ยา
3. สายราชการและอื่นๆ:
- เภสัชกรในหน่วยงานรัฐ: เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)
- นักวิชาการ/อาจารย์มหาวิทยาลัย: ทำหน้าที่สอนและทำงานวิจัย
- เภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภค: ทำงานในองค์กรที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ
อยากเข้าคณะเภสัชฯ ต้องเตรียมตัวสอบอะไร?
- TPAT1 วิชาเฉพาะ กสพท (ความถนัดแพทย์)
- A-Level 7 วิชาหลัก โดยเน้นที่วิชา เคมี และ ชีววิทยา เป็นพิเศษ
หากน้องๆ รักในวิชาเคมีและชีววิทยา และมีความปรารถนาที่จะใช้ความรู้นั้นเพื่อพัฒนายาและดูแลสุขภาพของผู้คน คณะเภสัชศาสตร์อาจเป็นคำตอบที่ลงตัวและมอบอนาคตที่หลากหลายกว่าที่คิดค่ะ
แล้วถ้าความฝันของคุณคือการออกแบบและสร้างสรรค์สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ล่ะ? ติดตามบทความต่อไปกับ 'รีวิวคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์: เรียนหนักจริงไหม?' กันได้เลย!