รีวิวคณะแพทยศาสตร์: เส้นทาง 6 ปีสู่การเป็นหมอ
"อยากเป็นหมอ" คือความฝันของเด็กสายวิทย์-คณิตจำนวนมาก ด้วยภาพลักษณ์ของอาชีพที่ได้ช่วยเหลือผู้คน มีความมั่นคง และเป็นที่ยอมรับของสังคม แต่เบื้องหลังเสื้อกาวน์สีขาวนั้น คือเส้นทางการเรียนรู้ที่ยาวนานถึง 6 ปี ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทาย, การเสียสละ, และความทุ่มเทอย่างมหาศาล
วันนี้ Tutorwa Channel จะพาน้องๆ ไปสำรวจเส้นทางชีวิตของนักศึกษาแพทย์ตลอด 6 ปี ว่าในแต่ละชั้นปีต้องเรียนรู้และเผชิญกับอะไรบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจว่า "ใจ" ของเราพร้อมที่จะเป็น "หมอ" จริงๆ หรือไม่
อยากเป็นหมอ ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?
ก่อนจะไปดูเนื้อหาการเรียน มาสำรวจตัวเองกันก่อนว่าเรามี "หัวใจ" ของความเป็นหมอหรือไม่:
- ความรับผิดชอบสูง: เพราะทุกการตัดสินใจเกี่ยวข้องกับชีวิตคน
- ความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Empathy): มีใจที่อยากจะช่วยเหลือและเข้าใจความทุกข์ของผู้ป่วย
- ความอดทนและแข็งแกร่งทางจิตใจ: สามารถรับมือกับความกดดัน, ความเครียด, และสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดี
- รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต: วิทยาการทางการแพทย์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หมอจึงหยุดเรียนรู้ไม่ได้
- เก่งวิทยาศาสตร์ชีวภาพและเคมี: เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำความเข้าใจการทำงานของร่างกายมนุษย์
เปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต: 6 ปีเรียนอะไรกันบ้าง?
เส้นทาง 6 ปีของนักศึกษาแพทย์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ
ช่วงที่ 1: ชั้นปีที่ 1 (Pre-medical Year)
- เรียนอะไร?: เป็นช่วงปรับพื้นฐานให้แน่นเหมือนนักศึกษาคณะสายวิทยาศาสตร์ทั่วไป จะเรียนวิชาพื้นฐาน เช่น ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา, แคลคูลัส, ภาษาอังกฤษ และวิชาศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัย
- ชีวิตในปี 1: เป็นปีที่ได้ใช้ชีวิตเฟรชชี่เหมือนคณะอื่นๆ ได้ทำกิจกรรมรับน้องและกิจกรรมมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องเรียนหนักเพื่อเตรียมตัวสำหรับเนื้อหาในปีต่อไป
ช่วงที่ 2: ชั้นปีที่ 2-3 (Pre-clinical Years)
- เรียนอะไร?: เป็นการเรียนในระดับ "ปรีคลินิก" คือการเรียนรู้การทำงานของร่างกายมนุษย์ในภาวะปกติและผิดปกติอย่างละเอียดที่สุด แต่ยังเป็นการเรียนในห้องเลคเชอร์และห้องปฏิบัติการเป็นหลัก
- ปี 2: เรียนรู้ร่างกายในภาวะปกติ เช่น กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) ที่ต้องเรียนกับ "อาจารย์ใหญ่", สรีรวิทยา (Physiology), ชีวเคมี (Biochemistry)
- ปี 3: เรียนรู้ความผิดปกติและพยาธิสภาพของโรคต่างๆ เช่น พยาธิวิทยา (Pathology), เภสัชวิทยา (Pharmacology), จุลชีววิทยา (Microbiology)
- ชีวิตในปี 2-3: เป็นช่วงที่เรียนหนักและเนื้อหาเยอะที่สุด จนถูกขนานนามว่าเป็น "ช่วงที่โหดที่สุด" ของการเรียนแพทย์
ช่วงที่ 3: ชั้นปีที่ 4-6 (Clinical Years)
- เรียนอะไร?: เป็นการเรียนในระดับ "ชั้นคลินิก" นักศึกษาแพทย์ (นศพ.) จะได้ขึ้นวอร์ด (Ward) หรือหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลเพื่อเรียนรู้กับผู้ป่วยจริงภายใต้การดูแลของอาจารย์หมอ จะได้วนเรียนไปตามแผนกต่างๆ
- ปี 4-5: วนเรียนในแผนกหลักๆ เช่น อายุรกรรม, ศัลยกรรม, กุมารเวชกรรม (หมอเด็ก), สูตินรีเวชกรรม, และแผนกย่อยอื่นๆ
- ปี 6 (Extern): ถือเป็นการฝึกงานอย่างเต็มตัว จะต้องรับผิดชอบดูแลผู้ป่วย, อยู่เวรข้ามคืน, และปฏิบัติหน้าที่เสมือนเป็นแพทย์คนหนึ่งในทีม
- ชีวิตในปี 4-6: เป็นช่วงที่ต้องใช้ทั้งความรู้, ทักษะ, และพละกำลังอย่างมหาศาล ต้องปรับตัวกับการทำงานเป็นทีม, การสื่อสารกับผู้ป่วย, และการอยู่เวรดึก แต่ก็เป็นช่วงที่ได้สัมผัสกับวิชาชีพแพทย์อย่างแท้จริง
จบ 6 ปีแล้วไปไหนต่อ?หลังจากเรียนจบและได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตแล้ว เส้นทางต่อไปคือ:
- การสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม: เพื่อให้ได้เป็น "นายแพทย์/แพทย์หญิง" อย่างสมบูรณ์
- การทำงานใช้ทุน (สำหรับแพทย์ส่วนใหญ่): ทำงานในโรงพยาบาลของรัฐเป็นเวลา 3 ปี
- การเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง (Residency): หลังจากใช้ทุนครบแล้ว สามารถเรียนต่อในสาขาที่สนใจ เช่น ศัลยแพทย์, อายุรแพทย์, จักษุแพทย์ ซึ่งใช้เวลาเรียนอีก 3-6 ปี
อยากเข้าคณะแพทย์ฯ ต้องเตรียมตัวสอบอะไร?
- TPAT1 วิชาเฉพาะ กสพท (ความถนัดแพทย์)
- A-Level 7 วิชาหลัก ได้แก่ คณิตศาสตร์ 1, ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา, ภาษาไทย, สังคมศึกษา, และภาษาอังกฤษ
เส้นทาง 6 ปีสู่การเป็นหมอนั้นยาวไกลและต้องอาศัยความทุ่มเทอย่างยิ่ง แต่สำหรับผู้ที่มีใจรักในวิชาชีพนี้อย่างแท้จริง มันคือการเดินทางที่คุ้มค่าและน่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต
สำหรับน้องๆ ที่อาจจะมองหาเส้นทางสายสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน รอติดตามบทความต่อไป 'รีวิวคณะทันตแพทยศาสตร์: อยากเป็นหมอฟันต้องเรียนอะไร?' กันนะคะ!