เรียนพิเศษดีไหม? เลือกแบบไหนดี?

Last updated: 13 ส.ค. 2568  |  12 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เรียนพิเศษดีไหม? เลือกแบบไหนดี?

เรียนพิเศษ จำเป็นไหม? คู่มือพ่อแม่ตัดสินใจ พร้อมเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียแต่ละรูปแบบ
 
ในยุคที่การแข่งขันทางการศึกษาสูงขึ้นทุกวัน "การเรียนพิเศษ" กลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะขาดไม่ได้สำหรับเด็กนักเรียนไทย จนผู้ปกครองหลายท่านรู้สึกกดดันว่า "ถ้าลูกเราไม่เรียน จะสู้คนอื่นเขาได้อย่างไร?"

แต่ก่อนที่เราจะรีบสมัครคอร์สเรียนต่างๆ ตามกระแส เราควรจะถอยกลับมาหนึ่งก้าว แล้วถามคำถามที่สำคัญที่สุดก่อนว่า การเรียนพิเศษนั้น "จำเป็น" สำหรับลูกของเราจริงๆ หรือไม่?

บทความนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้สำรวจความต้องการที่แท้จริงของลูก และหากคำตอบคือ "จำเป็น" เราก็จะมาเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของคลาสเรียนแต่ละรูปแบบ เพื่อให้ท่านสามารถเลือกสิ่งที่ "เหมาะสมที่สุด" ไม่ใช่แค่ "ดีที่สุด" ตามคำบอกเล่า

Part 1: "เรียนพิเศษ" จำเป็นสำหรับลูกเราจริงหรือ?
 
การเรียนพิเศษไม่ใช่ยาวิเศษที่เหมาะกับเด็กทุกคน ลองประเมินจากสัญญาณเหล่านี้ดูครับ

สัญญาณที่บอกว่า "อาจจะจำเป็น":
     - เรียนในห้องไม่ทันเพื่อนจริงๆ: ลูกไม่เข้าใจเนื้อหาพื้นฐานที่คุณครูสอน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเรียนในระดับที่สูงขึ้น
     - มีเป้าหมายแข่งขันสูงมาก: หากตั้งเป้าหมายสอบเข้าโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงมากๆ (เช่น เตรียมอุดมฯ, MWIT) การเรียนพิเศษเพื่อเรียนรู้เนื้อหาที่ลึกเกินหลักสูตรและเทคนิคการทำข้อสอบถือเป็นสิ่งจำเป็น
     - ต้องการเสริมความมั่นใจ: เด็กบางคนมีความรู้ แต่ขี้อายและไม่กล้าถามคำถามในห้องเรียนใหญ่ๆ การเรียนในกลุ่มเล็กๆ จะช่วยเสริมความมั่นใจให้เขากล้าแสดงออกมากขึ้น
     - ผู้ปกครองไม่มีเวลาหรือไม่ถนัดในวิชานั้นๆ: การมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดูแลและตอบคำถามย่อมดีกว่า

สัญญาณที่บอกว่า "อาจจะไม่จำเป็น":
     - ลูกเรียนเข้าใจและทำเกรดได้ดีอยู่แล้ว: การเพิ่มชั่วโมงเรียนอาจทำให้ลูกเบื่อหน่ายและหมดไฟ (Burnout) ได้
     - ตารางเวลาของลูกแน่นเกินไป: หากลูกมีกิจกรรมหรือการบ้านเยอะอยู่แล้ว การเพิ่มคลาสเรียนพิเศษเข้าไปอีกจะไปเบียดเบียน "เวลาพักผ่อน" ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของสมอง
     - เหตุผลที่เรียนคือ "เรียนตามเพื่อน": หากเหตุผลหลักมาจากความกังวลว่า "คนอื่นเขาเรียนกันหมด" โดยที่ยังไม่เห็นปัญหาที่ชัดเจนของลูก อาจถึงเวลาที่ต้องทบทวนใหม่
 

Part 2: ถ้าตัดสินใจว่า "เรียน" แล้วจะเลือกรูปแบบไหนดี?
 
เมื่อประเมินแล้วว่าจำเป็นจริงๆ ขั้นต่อไปคือการเลือกรูปแบบที่เหมาะสมที่สุด

ศึกแรก: "ตัวต่อตัว" VS "เรียนกลุ่ม"
 - เรียนตัวต่อตัว (1-on-1):
     - ข้อดี: ได้รับความใส่ใจเต็มที่, สามารถปรับเนื้อหาและ سرعتการสอนให้เข้ากับผู้เรียนได้ 100%, กล้าถามคำถามที่สงสัยได้อย่างอิสระ
     - ข้อเสีย: ราคาสูงที่สุด, ขาดบรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกับเพื่อน
     - เหมาะกับ: เด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ, มีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน, หรือเด็กที่ขี้อายมากๆ

 - เรียนกลุ่ม:
     - ข้อดี: ราคาเข้าถึงง่ายกว่า, ได้เรียนรู้จากคำถามของเพื่อนร่วมชั้น, มีแรงกระตุ้นจากการแข่งขันเล็กๆ น้อยๆ
     - ข้อเสีย: ความใส่ใจที่ได้รับจากผู้สอนจะถูกหารเฉลี่ย, ต้องเรียนไปพร้อมกับเพื่อน
     - เหมาะกับ: เด็กส่วนใหญ่ที่ต้องการทบทวนบทเรียนและเรียนรู้เทคนิคเพิ่มเติม
 
ศึกสอง: "เรียนสดที่สถาบัน" VS "เรียนออนไลน์"
 - เรียนสดที่สถาบัน (On-site):
     - ข้อดี: มีสมาธิจดจ่อได้ดีกว่าเพราะมีสิ่งรบกวนน้อย, ได้เจอเพื่อนและผู้สอนตัวเป็นๆ
     - ข้อเสีย: เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง, ตารางเรียนตายตัว
     - เหมาะกับ: เด็กที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่บังคับให้ต้องเรียน และยังต้องการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

 - เรียนออนไลน์ (Online):
     - ข้อดี: ประหยัดเวลาเดินทาง, มีความยืดหยุ่นสูง, สามารถดูเทปย้อนหลังได้ (สำหรับคอร์สวิดีโอ)
     - ข้อเสีย: ต้องการวินัยในตนเองสูงมากในการเข้าเรียน, อาจมีสิ่งรบกวนที่บ้าน
     - เหมาะกับ: เด็กที่มีวินัยในตนเอง, มีตารางกิจกรรมอื่นๆ แน่น, หรืออาศัยอยู่ไกลจากสถาบันกวดวิชา (ดูเพิ่มเติม: วิธีเลือกคอร์สติวให้เหมาะกับลูก)

บทสรุป: ไม่มีคำตอบที่ "ดีที่สุด" มีแต่คำตอบที่ "เหมาะสมที่สุด" สำหรับลูกและครอบครัวของเรา การตัดสินใจที่ดีที่สุดควรเริ่มต้นจากการพูดคุยกับลูกถึงความต้องการของเขา และอย่ากลัวที่จะ "หยุด" หรือ "เปลี่ยน" หากพบว่าคอร์สที่เรียนอยู่ไม่ตอบโจทย์ เพราะการเรียนพิเศษควรเป็น "ตัวช่วย" ไม่ใช่ "ภาระ" ที่เพิ่มขึ้น

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้