ลูกไม่อยากเรียน จะช่วยยังไงดี

Last updated: 13 ส.ค. 2568  |  32 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ลูกไม่อยากเรียน จะช่วยยังไงดี

เมื่อลูกบอก 'ไม่อยากเรียน' พ่อแม่จะช่วยพลิกสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?
 

"เบื่อ" "ไม่อยากเรียน" "ไม่รู้จะเรียนไปทำไม"

การได้ยินคำพูดเหล่านี้จากปากของลูก เป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่บีบคั้นหัวใจและสร้างความกังวลให้คุณพ่อคุณแม่มากที่สุด และบ่อยครั้งที่ปฏิกิริยาแรกของเราคือความผิดหวัง, ความโกรธ, หรือการตำหนิว่าลูก "ขี้เกียจ" ซึ่งอาจยิ่งผลักให้ลูกปิดใจและทำให้สถานการณ์แย่ลง

ก่อนอื่น... ขอให้คุณพ่อคุณแม่หายใจเข้าลึกๆ และทำความเข้าใจว่านี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัว และมันไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี หรือลูกของคุณเป็นเด็กไม่ดี แต่คำว่า "ไม่อยากเรียน" นั้นไม่ใช่ "ตัวปัญหา" หากแต่มันคือ "อาการ" ที่กำลังส่งสัญญาณว่ามี "ปัญหาบางอย่าง" ซ่อนอยู่

หน้าที่ของเราในฐานะพ่อแม่ ไม่ใช่การ "บังคับ" ให้ลูกกลับไปเรียน แต่คือการเป็น "นักสืบ" เพื่อค้นหาต้นตอที่แท้จริง และเป็น "โค้ช" ที่จะช่วยลูกแก้ปัญหานั้นไปด้วยกัน

Step 1: "หยุด" ตำหนิ และ "เริ่ม" รับฟัง (ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด)
 
ก่อนที่เราจะช่วยลูกได้ เราต้องทำให้ลูก "ยอมให้เราช่วย" เสียก่อน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขารู้สึกปลอดภัยที่จะพูดคุยกับเรา

ต้องทำอย่างไร:

เลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม: อย่าคุยเรื่องนี้ตอนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีทั้งสองฝ่าย แต่ให้เลือกช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย เช่น ตอนทานข้าวเย็น, ตอนนั่งรถไปด้วยกัน
เริ่มต้นด้วยความห่วงใย ไม่ใช่การตัดสิน:

ประโยคที่ควรเลี่ยง: "ทำไมขี้เกียจแบบนี้?", "การเรียนมันหน้าที่ของลูกนะ!"
ประโยคที่ควรใช้: "พ่อ/แม่สังเกตว่าช่วงนี้ลูกดูไม่ค่อยมีความสุขกับการเรียนเลย มีอะไรที่ทำให้กังวลใจอยู่หรือเปล่า เล่าให้ฟังได้นะ"
รับฟังอย่างตั้งใจ: เมื่อลูกเริ่มเปิดใจ หน้าที่ของเราคือ "ฟัง" เท่านั้น อย่าเพิ่งขัด, อย่าเพิ่งสอน, และอย่าเพิ่งรีบเสนอทางแก้ ให้เขาได้ระบายความรู้สึกออกมาให้หมดก่อน
 
Step 2: "สืบสวน" หาต้นตอของปัญหา
 
หลังจากรับฟังแล้ว ลองนำข้อมูลมาวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่แท้จริงน่าจะมาจากอะไร ซึ่งมักจะมาจาก 1 ใน 4 ด้านนี้

1. ด้านการเรียน:
เรียนไม่ทันเพื่อน / ไม่เข้าใจเนื้อหา: เมื่อเรียนไม่รู้เรื่อง ก็ย่อมไม่อยากเรียนเป็นธรรมดา
เบื่อหน่ายรูปแบบการสอน: สไตล์การสอนของคุณครูอาจไม่เข้ากับสไตล์การเรียนรู้ของลูก

2. ด้านสังคมที่โรงเรียน:
มีปัญหากับเพื่อน: การทะเลาะ, การถูกกีดกันออกจากกลุ่ม เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเด็ก
การถูกบูลลี่ (Bullying): สาเหตุร้ายแรงที่ทำให้เด็กรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย
เข้ากับครูไม่ได้: อาจมีความขัดแย้งหรือไม่ชอบพอคุณครูบางท่าน

3. ด้านจิตใจและร่างกาย:
ความเครียดและความกดดัน: อาจจะมาจากความคาดหวังของพ่อแม่หรือของตัวเด็กเอง
ภาวะหมดไฟ (Burnout): เกิดจากการเรียนหนักเกินไปจนไม่มีเวลาพักผ่อน
การนอนไม่พอ: เด็กที่นอนน้อยจะไม่มีสมาธิและพลังงานในการเรียน

4. ด้านความสนใจ:
ไม่เห็นความหมายของการเรียน: ไม่เข้าใจว่าการเรียนคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์จะนำไปใช้ประโยชน์อะไรในสิ่งที่เขาสนใจ (เช่น การเป็นนักแคสเกม, Youtuber)
 
Step 3: "ลงมือแก้ปัญหา" ร่วมกัน
 
เมื่อพอจะเห็นต้นตอของปัญหาแล้ว ให้ชวนลูกมาเป็น "ทีมเดียวกัน" เพื่อหาทางออก

ถ้าปัญหาคือ "เรียนไม่เข้าใจ": "เรามาลองหาตัวช่วยกันไหม อาจจะเป็น คอร์สเรียนออนไลน์ ที่สอนสนุกๆ หรือจะให้พ่อ/แม่ช่วยอธิบายเรื่องนี้อีกที"
ถ้าปัญหาคือ "เรื่องเพื่อนหรือการถูกบูลลี่": "ขอบคุณที่ไว้ใจและเล่าให้ฟังนะ เรื่องนี้พ่อ/แม่จะอยู่ข้างๆ ลูก เรามาคิดกันว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไรได้บ้าง" (อาจจะต้องมีการปรึกษากับครูที่ปรึกษา)
ถ้าปัญหาคือ "ความเครียด/หมดไฟ": "ดูเหมือนว่าตารางเวลาของเราจะแน่นเกินไป เรามาลองจัดตารางใหม่ให้มีเวลาพักและทำกิจกรรมที่ลูกชอบมากขึ้นกันดีไหม" (ดูเพิ่มเติม: เทคนิคเรียนเก่งแบบไม่เครียด)
ถ้าปัญหาคือ "ไม่เห็นเป้าหมาย": "เรามาลองค้นหากันดูไหมว่า ความรู้ในวันนี้จะช่วยให้ลูกไปถึงความฝันในวันหน้าได้อย่างไร" (ดูเพิ่มเติม: พ่อแม่ช่วยลูกตั้งเป้าหมาย)

บทสรุป: คำว่า "ไม่อยากเรียน" ของลูก ไม่ใช่การก่อกบฏ แต่คือ "เสียงร้องขอความช่วยเหลือ" การตอบสนองด้วยความเข้าใจ, การรับฟังอย่างเปิดอก, และการร่วมมือกันหาทางออก คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยพลิกสถานการณ์และนำความสุขในการเรียนรู้กลับมาให้ลูกอีกครั้ง สิ่งที่ลูกต้องการมากที่สุดในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่คำสั่งสอน แต่คือความมั่นใจว่า "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อกับแม่จะอยู่ทีมเดียวกับลูกเสมอ"

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้