Last updated: 13 ส.ค. 2568 | 34 จำนวนผู้เข้าชม |
เปลี่ยนสมุดเลคเชอร์ให้เป็น 'คัมภีร์เทพ': 4 เทคนิคจดโน้ตให้จำแม่นและอ่านทวนง่าย
เคยเป็นไหมครับ? ตั้งใจฟังคุณครูสอนในห้องอย่างดี แต่พอเปิดสมุดเลคเชอร์ของตัวเองมาอ่านทบทวนก่อนสอบ... กลับอ่านไม่รู้เรื่อง! ลายมือก็หวัด หาใจความสำคัญก็ไม่เจอ จนสุดท้ายก็ต้องไปยืมชีทสรุปของเพื่อนอยู่ดี
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากว่าเราไม่ตั้งใจเรียน แต่เป็นเพราะเรายังไม่รู้ "เทคนิค" การจดเลคเชอร์ที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง การจดเลคเชอร์ที่ดีไม่ใช่การ "คัดลอก" ทุกคำพูดของครูลงสมุด แต่คือ "กระบวนการคิดและสรุป" ข้อมูลไปพร้อมๆ กับการฟัง เพื่อสร้างเป็น "คัมภีร์" ฉบับย่อส่วนตัวของเรา
วันนี้ Tutorwa-Channel จะมาแนะนำ 4 เทคนิคการจดเลคเชอร์ระดับโลก ที่จะช่วยให้น้องๆ เรียนเข้าใจขึ้นในห้อง และมีชีทสรุปที่ดีที่สุดไว้อ่านทวน!
1. The Cornell Method (วิธีคอร์เนล) - สำหรับนักจัดระเบียบ
เป็นวิธีที่คลาสสิกและมีประสิทธิภาพสูงมาก เหมาะกับการจดทุกวิชา
วิธีทำ:
แบ่งหน้ากระดาษเป็น 3 ส่วน:
ช่องขวา (ใหญ่สุด): สำหรับจดเนื้อหาหลัก (Notes)
ช่องซ้าย (เล็กกว่า): สำหรับคีย์เวิร์ด/คำถาม (Cues)
ช่องล่าง: สำหรับสรุป (Summary)
ระหว่างเรียน: จดเนื้อหาที่ครูสอนตามปกติใน "ช่องขวา" โดยใช้ภาษาของตัวเอง
หลังเลิกเรียน (สำคัญมาก): กลับมาอ่านทบทวนโน้ตในช่องขวา แล้วดึง "คีย์เวิร์ด" หรือตั้งเป็น "คำถาม" ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาส่วนนั้นๆ มาเขียนไว้ใน "ช่องซ้าย"
ก่อนอ่านครั้งต่อไป: ใช้มือปิดช่องขวา แล้วลองตอบคำถามจากคีย์เวิร์ดในช่องซ้าย เพื่อทดสอบความจำ จากนั้นเขียนสรุปใจความสำคัญของทั้งหน้าไว้ใน "ช่องล่าง"
ข้อดี: บังคับให้เราต้องกลับมาทบทวนและจัดระเบียบความคิด ทำให้จำเนื้อหาได้แม่นยำ
2. The Mind Mapping Method (วิธีมายด์แม็ป) - สำหรับนักคิดเชื่อมโยง
เหมาะกับวิชาที่มีหัวข้อใหญ่และแตกแขนงออกไปเยอะๆ เช่น ชีววิทยา, สังคมศึกษา
วิธีทำ:
เขียน "หัวข้อหลัก" ไว้ตรงกลางหน้ากระดาษ
ลากเส้น "กิ่งก้าน" หลักแตกออกมาสำหรับ "หัวข้อย่อย"
ลากเส้น "กิ่งแขนง" เล็กๆ ต่อออกไปเพื่อจด "รายละเอียด" หรือ "ตัวอย่าง"
ใช้สีสันและรูปภาพเข้ามาช่วย จะทำให้สมองจดจำได้ดีขึ้น
ข้อดี: ช่วยให้เห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงของเนื้อหาทั้งหมดได้ในหน้าเดียว
3. The Outline Method (วิธีร่างโครงเรื่อง) - สำหรับนักคิดเชิงตรรกะ
เป็นวิธีที่ง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด เหมาะกับวิชาที่มีโครงสร้างชัดเจน เป็นลำดับขั้น เช่น คณิตศาสตร์, ประวัติศาสตร์
วิธีทำ: ใช้หัวข้อย่อยและย่อหน้าเพื่อแสดงลำดับความสำคัญของเนื้อหา
หัวข้อใหญ่
หัวข้อย่อย
1.1 รายละเอียด
1.2 รายละเอียด
ตัวอย่าง
หัวข้อย่อย
ข้อดี: ง่ายต่อการทำความเข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาทั้งหมด และง่ายต่อการนำไปอ่านทบทวน
4. The Sketchnoting Method (วิธีวาดภาพสรุป) - สำหรับสายอาร์ต
เป็นการผสมผสานระหว่างการเขียน, การวาดรูป, สัญลักษณ์, กรอบคำพูด และลูกศร เพื่อสร้างเลคเชอร์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และน่าอ่าน
วิธีทำ: ไม่มีกฎตายตัว! ปล่อยให้ความคิดสร้างสรรค์ทำงานเต็มที่ ฟังคีย์เวิร์ดสำคัญจากคุณครูแล้วเปลี่ยนมันเป็น "ภาพ" หรือ "สัญลักษณ์" ที่เราเข้าใจ
ข้อดี: สนุก, ทำให้การจดเลคเชอร์ไม่น่าเบื่อ และสมองจดจำภาพได้ดีกว่าตัวอักษร
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
ใช้คำย่อและสัญลักษณ์: สร้างโค้ดลับของตัวเอง เช่น & = และ, → = ส่งผลให้, w/ = ด้วย
เว้นที่ว่าง: อย่าจดทุกอย่างติดกันเป็นพรืด การเว้นที่ว่างไว้จะทำให้อ่านสบายตาและสามารถกลับมาเพิ่มเติมข้อมูลทีหลังได้
ทบทวนภายใน 24 ชั่วโมง: ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน การสละเวลา 10-15 นาทีเพื่อกลับมาอ่านทบทวนเลคเชอร์ของวันนั้นๆ จะช่วยให้ความรู้คงอยู่ในระยะยาวเพิ่มขึ้นกว่า 60%!
ลองเลือกวิธีที่ใช่สำหรับตัวเองสัก 1-2 วิธีไปปรับใช้ดูนะครับ แล้วน้องๆ จะค้นพบว่าการจดเลคเชอร์ไม่ใช่แค่การบ้านที่ต้องทำให้เสร็จ แต่เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่งของเราเอง
14 ส.ค. 2568
13 ส.ค. 2568
14 ส.ค. 2568
14 ส.ค. 2568