ท้องนอกมดลูก: 5 สัญญาณเตือนภัยเงียบ ที่แม่ตั้งครรภ์ต้องระวัง (รู้ช้าอันตรายถึงชีวิต)

Last updated: 10 ธ.ค. 2568  |  31 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ท้องนอกมดลูก: 5 สัญญาณเตือนภัยเงียบ ที่แม่ตั้งครรภ์ต้องระวัง (รู้ช้าอันตรายถึงชีวิต)

 "ตรวจเจอ 2 ขีด แพ้ท้องเหมือนปกติ แต่ทำไมปวดท้องจี๊ดๆ ข้างเดียวไม่หายสักที?"

คุณแม่ขา... ถ้ามีความรู้สึกแบบนี้ "ห้ามวางใจเด็ดขาด" นะคะ! เพราะนี่อาจไม่ใช่การตั้งครรภ์ปกติ แต่อาจเป็นภาวะ "ท้องนอกมดลูก" (Ectopic Pregnancy) ภัยเงียบที่น่ากลัวที่สุดสำหรับแม่ท้องไตรมาสแรก

ภาวะนี้เหมือนระเบิดเวลาค่ะ เพราะตัวอ่อนไปฝังตัวผิดที่ (ส่วนใหญ่ไปติดที่ท่อนำไข่) ซึ่งท่อนำไข่เนี่ย มันเล็กและบางมาก พอตัวอ่อนโตขึ้นเรื่อยๆ ท่อนำไข่ก็จะรับไม่ไหวและ "แตก" ในที่สุด ทำให้เลือดออกในช่องท้องมหาศาลจนช็อกได้ วันนี้เรามาเช็ก 5 สัญญาณเตือน ที่ร่างกายกำลังร้องขอความช่วยเหลือกันค่ะ

ท้องนอกมดลูก คืออะไร? (เข้าใจง่ายใน 1 นาที)
ปกติแล้ว ไข่กับสเปิร์มจะผสมกันที่ท่อนำไข่ แล้วเดินทางมาฝังตัวใน "โพรงมดลูก" (บ้านที่แท้จริง) แต่ในเคสท้องนอกมดลูก... ตัวอ่อนดัน "หลงทาง" หรือเดินทางมาช้าเกินไป เลยตัดสินใจฝังตัวและเติบโตที่ "ท่อนำไข่" (หรือปีกมดลูก) แทนค่ะ

ข่าวร้ายคือ: ท่อนำไข่ขยายตัวไม่ได้เหมือนมดลูก ดังนั้นทารกจะไม่สามารถเติบโตต่อไปได้ และจำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์เพื่อรักษาชีวิตแม่ค่ะ

เช็กด่วน! 5 สัญญาณเตือน "ท้องนอกมดลูก"
อาการมักเริ่มแสดงช่วงสัปดาห์ที่ 6-10 ของการตั้งครรภ์ ถ้ามีอาการตามนี้ "อย่ารอพรุ่งนี้" ให้ไปโรงพยาบาลทันทีค่ะ!

1. ปวดท้องน้อย "ข้างเดียว" รุนแรง
นี่คืออาการที่ชัดเจนที่สุด! จะปวดจี๊ดๆ หรือปวดบีบๆ ที่ท้องน้อย "ด้านซ้าย หรือ ด้านขวา" เพียงด้านใดด้านหนึ่ง (ตำแหน่งที่ตัวอ่อนฝังตัว)

  • จุดสังเกต: อาการปวดจะไม่หายไปแม้นอนพัก และจะปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหงื่อตก หน้าซีด

2. เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
อาจเป็นเลือดสีน้ำตาลคล้ำๆ หรือสีแดงสด ไหลแบบกะปริดกะปรอย

  • ระวังสับสน: หลายคนคิดว่าเป็นเลือดล้างหน้าเด็ก หรือภาวะแท้งคุกคาม แต่ถ้ามีเลือดออก + ปวดท้องข้างเดียว ให้สงสัยท้องนอกมดลูกไว้ก่อนเลยค่ะ

3. ปวดร้าวไปที่ "หัวไหล่" (Shoulder Tip Pain)
ข้อนี้ฟังดูแปลก แต่เป็นสัญญาณอันตรายมาก!

  • เกิดจากอะไร?: เมื่อท่อนำไข่แตกหรือมีเลือดออกในช่องท้อง เลือดจะไปรบกวนกะบังลมและเส้นประสาทที่เชื่อมโยงไปถึงหัวไหล่ ทำให้รู้สึกปวดแปลบๆ ที่ปลายไหล่เวลานอนหรือหายใจเข้าลึกๆ

4. หน้ามืด เป็นลม วิงเวียนศีรษะ
เกิดจากการเสียเลือดภายในช่องท้อง (Internal Bleeding) ทำให้ความดันตก ชีพจรเต้นเร็ว หน้าซีดเซียว และอาจช็อกหมดสติได้

5. ปวดหน่วงตอนขับถ่าย (Rectal Pressure)
รู้สึกปวดเบ่ง หรือปวดเจ็บจี๊ดๆ ที่ก้นหรือทวารหนักเวลาขับถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ เกิดจากเลือดที่ออกไปกดทับบริเวณนั้นค่ะ

ใครบ้างที่มี "ความเสี่ยงสูง"?
แม้จะเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่กลุ่มนี้ต้องระวังเป็นพิเศษค่ะ:

  • เคยมีประวัติท้องนอกมดลูกมาก่อน (เสี่ยงซ้ำ 15%)
  • เคยผ่าตัดช่องท้อง หรือผ่าตัดท่อนำไข่ (เช่น ทำหมัน แก้หมัน)
  • เคยติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ตั้งครรภ์ตอนอายุมาก (35 ปีขึ้นไป)
  • สูบบุหรี่ (บุหรี่ทำลายขนกวักที่ท่อนำไข่ ทำให้ไข่เดินทางช้า)

รักษาอย่างไร? ต้องตัดปีกมดลูกไหม?
การรักษาขึ้นอยู่กับว่า "เจอเร็วแค่ไหน" ค่ะ

  1. ถ้าเจอเร็ว (ท่อนำไข่ยังไม่แตก): คุณหมออาจฉีดยาให้ตัวอ่อนฝ่อไปเอง โดยไม่ต้องผ่าตัด หรือผ่าตัดส่องกล้องเจาะเอาตัวอ่อนออก (เก็บท่อนำไข่ไว้ได้)
  2. ถ้าเจอช้า (ท่อนำไข่แตกแล้ว): ต้องผ่าตัดด่วนเพื่อห้ามเลือด และจำเป็นต้อง "ตัดท่อนำไข่ข้างนั้นทิ้ง" ค่ะ

คำถามสำคัญ: ตัดท่อนำไข่ไปข้างนึง ยังท้องได้ไหม? ตอบ: "ท้องได้ค่ะ!" เพราะเรายังมีท่อนำไข่อีกข้างที่ทำงานได้ปกติ ไข่ก็ยังตกสลับข้างได้เหมือนเดิม แค่อาจจะต้องลุ้นเหนื่อยขึ้นนิดหน่อย แต่มีลูกธรรมชาติได้แน่นอนค่ะ

บทสรุป
"ท้องนอกมดลูก" เป็นเหตุสุดวิสัยที่ป้องกันไม่ได้ 100% แต่เรา "ป้องกันการสูญเสีย" ได้ด้วยการรู้ทันค่ะ
ทันทีที่รู้ว่าท้อง (ตรวจเจอ 2 ขีด) แนะนำให้ "รีบไปฝากครรภ์และขออัลตราซาวด์" ให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอให้ท้องโต เพื่อเช็กให้ชัวร์ว่าถุงตั้งครรภ์อยู่ในมดลูกจริงๆ
ถ้าวันนี้คุณแม่มีอาการปวดท้องข้างเดียวที่ผิดปกติ วางมือถือลง แล้วรีบไปห้องฉุกเฉินเลยนะคะ ปลอดภัยไว้ก่อน ดีที่สุดค่ะ! เป็นห่วงนะคะ

Disclaimer: บทความนี้ให้ข้อมูลเพื่อการเฝ้าระวังเท่านั้น หากมีอาการปวดท้องรุนแรงหรือหน้ามืด ควรรีบพบแพทย์ ณ ห้องฉุกเฉินทันที

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้