ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ ขณะตั้งครรภ์ อันตรายไหม หรือแค่มดลูกขยายตัว? (เช็ก 5 อาการปวดที่ต้องไปโรงพยาบาล)

Last updated: 10 ธ.ค. 2568  |  31 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ ขณะตั้งครรภ์ อันตรายไหม หรือแค่มดลูกขยายตัว? (เช็ก 5 อาการปวดที่ต้องไปโรงพยาบาล)

"โอ๊ย! เจ็บจี๊ดขึ้นมาอีกแล้ว..." กำลังลุกจากที่นอน หรือแค่จามเบาๆ ก็เจ็บแปล๊บที่ท้องน้อยจนตัวงอ เชื่อว่าแม่ท้องหลายคนเป็นใช่ไหมคะ?

อาการปวดท้องน้อยจี๊ดๆ แบบนี้ มักทำให้เราใจเสียทุกที กลัวว่าเจ้าตัวเล็กจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า? จริงๆ แล้วอาการปวดท้องขณะตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากค่ะ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระเพื่อรองรับลูกน้อย แต่! ก็มีอาการปวดบางประเภทที่เป็นสัญญาณเตือนภัยเงียบที่เราห้ามมองข้ามเด็ดขาด

วันนี้เรามาเช็กร่างกายกันค่ะว่า "ความเจ็บระดับนี้" คือมดลูกขยายตัวปกติ หรือมีอะไรผิดปกติซ่อนอยู่กันแน่?
 
Q&A: เจ็บท้องน้อยแบบไหน "ปกติ" (ไม่อันตราย)?
Q: ทำไมอยู่ๆ ก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาที่ขาหนีบหรือท้องน้อย?
A: สาเหตุอันดับ 1 คือ "อาการเจ็บเอ็นยึดมดลูก" (Round Ligament Pain) ค่ะ ให้นึกภาพมดลูกเราเหมือนลูกโป่งที่มีหนังยาง (เอ็น) ขึงยึดไว้กับโครงกระดูก พอลูกตัวใหญ่ขึ้น หนังยางเส้นนี้ก็ต้องยืดดดดออก พอเราขยับตัวเร็วๆ ไอ หรือจาม หนังยางมันก็ตึงทันที เลยทำให้เจ็บ "จี๊ด" ขึ้นมาค่ะ

Q: แล้วอาการ "มดลูกขยายตัว" รู้สึกยังไงคะ?
A: จะรู้สึก "หน่วงๆ ตึงๆ" คล้ายๆ ปวดประจำเดือนค่ะ มักเป็นช่วงไตรมาสแรกที่มดลูกกำลังขยายขนาดอย่างรวดเร็ว อาการนี้ไม่อันตรายและจะหายไปเองเมื่อนอนพักค่ะ
 
เช็กด่วน! ตารางแยกอาการปวด: "ปกติ" vs "อันตราย"
เพื่อความสบายใจ ลองเทียบอาการของตัวเองกับตารางนี้ดูนะคะ
 
ลักษณะอาการสาเหตุที่เป็นไปได้ระดับความอันตรายสิ่งที่ต้องทำ
เจ็บจี๊ดๆ เวลาขยับตัวเร็วๆ (หายเองได้ในไม่กี่นาที)เอ็นยึดมดลูกตึงตัว (Round Ligament Pain)ปกติพักผ่อน, ลุกนั่งช้าๆ, ประคบอุ่น
ปวดหน่วงๆ คล้ายเมนส์ (ไม่มีเลือดออก)มดลูกขยายตัว / ตัวอ่อนฝังตัวปกตินอนพัก, ดื่มน้ำเยอะๆ
ปวดบีบๆ เป็นจังหวะ (ท้องแข็งร่วมด้วย)เจ็บครรภ์เตือน / เจ็บครรภ์จริงเฝ้าระวังถ้านอนพักแล้วหาย = เตือน, ถ้าถี่ขึ้น = ไป รพ.
ปวดจี๊ดรุนแรง ข้างใดข้างหนึ่ง (หน้ามืด/เป็นลม)ท้องนอกมดลูก (Ectopic Pregnancy)อันตรายมาก!ไปโรงพยาบาลทันที (เสี่ยงท่อนำไข่แตก)
ปวดบีบ + มีเลือดออกภาวะแท้งคุกคาม / รกลอกตัวก่อนกำหนดอันตรายมาก!ไปโรงพยาบาลทันที
ปวดแสบเวลาปัสสาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบควรพบแพทย์ต้องกินยาฆ่าเชื้อ ไม่งั้นเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด

 

เจาะลึก 3 อาการปวดที่ "ห้ามทน" (ต้องไปหาหมอเดี๋ยวนี้!)
ถ้าคุณแม่มีอาการ 3 ข้อนี้ ห้ามคิดว่า "เดี๋ยวก็หาย" นะคะ เพราะทุกนาทีมีค่าค่ะ

1. ท้องนอกมดลูก (Ectopic Pregnancy)
มักเกิดช่วงท้องอ่อนๆ (6-10 สัปดาห์) อาการคือ ปวดท้องน้อยรุนแรงข้างเดียว (ซ้ายหรือขวาก็ได้) ปวดแบบหน้ามืด เหงื่อแตก ตัวเย็น และอาจมีเลือดออกกะปริดกะปรอย

  • ความเสี่ยง: ถ้าท่อนำไข่แตก จะตกเลือดในช่องท้องถึงชีวิตได้ค่ะ
2. ภาวะแท้ง / แท้งคุกคาม
อาการคือ ปวดบีบตรงกลางท้องน้อย คล้ายปวดเมนส์แต่รุนแรงกว่า และมี เลือดสดๆ ไหลออกมา
  • ข้อควรระวัง: ถ้าแค่มีเลือดสีน้ำตาลนิดหน่อยอาจเป็นเลือดเก่า แต่ถ้าปวดท้องร่วมด้วยเมื่อไหร่ ให้รีบไปหาหมอเพื่อฉีดยากันแท้งทันทีค่ะ

3. รกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental Abruption)
มักเกิดในไตรมาสท้ายๆ อาการคือ ปวดท้องเกร็งตลอดเวลา (ท้องแข็งโป๊กไม่คลายเลย) กดแล้วเจ็บมาก และอาจมีเลือดออกสีคล้ำๆ

  • ความเสี่ยง: ลูกจะขาดออกซิเจน ต้องผ่าคลอดด่วนที่สุดค่ะ

How to บรรเทาอาการปวดแบบ "ธรรมชาติ" (สำหรับอาการปกติ)
ถ้าหมอเช็กแล้วว่าปลอดภัย เป็นแค่มดลูกขยายตัว ลองใช้วิธีพวกนี้ดูค่ะ ช่วยได้เยอะเลย

  1. เปลี่ยนท่าให้ช้าลง: อย่าลุกพรวดพราดค่ะแม่! ให้ตะแคงตัวก่อนแล้วค่อยๆ ใช้มือยันตัวลุกขึ้น จะช่วยลดอาการเจ็บเอ็นยึดมดลูกได้ดีมาก
  2. เข็มขัดพยุงครรภ์ (Maternity Belt): สำหรับคุณแม่ท้องใหญ่ เข็มขัดจะช่วยอุ้มน้ำหนักท้อง ลดแรงดึงที่หลังและเอ็นหน้าท้องได้ค่ะ
  3. ประคบอุ่น: ใช้กระเป๋าน้ำร้อน (เอาแค่อุ่นๆ พอนะคะ ห้ามร้อนจัด) ประคบเบาๆ บริเวณที่ปวด หรืออาบน้ำอุ่นก็ช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ค่ะ
  4. ท่านอนตะแคง: การนอนหงายจะทำให้มดลูกไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ ทำให้ปวดหลังและปวดท้องได้ ให้เน้นนอนตะแคงซ้ายจะดีที่สุดค่ะ

บทสรุป
อาการ "เจ็บจี๊ด" หรือ "ปวดหน่วง" เป็นสิ่งที่มาคู่กับคนท้องค่ะ เพราะร่างกายเรากำลังทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างมนุษย์ตัวน้อยๆ
หลักการจำง่ายๆ คือ "ถ้าปวดแล้วพักก็หาย = ปกติ" แต่ถ้า "ปวดรุนแรง + มีเลือดออก + พักแล้วไม่ดีขึ้น = ไปหาหมอ"
ฟังเสียงร่างกายตัวเองให้ดีนะคะคุณแม่ สัญชาตญาณความเป็นแม่มักจะถูกต้องเสมอ ถ้าไม่แน่ใจ การไปหาหมอแล้วพบว่า "ไม่เป็นอะไร" ดีกว่าไปช้าแล้วแก้ไขไม่ทันนะคะ
ดูแลตัวเองดีๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนค่ะ!

Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลสุขภาพเบื้องต้น ไม่สามารถใช้แทนคำวินิจฉัยของแพทย์ได้ หากมีอาการผิดปกติรุนแรง ควรรีบพบสูตินารีแพทย์ทันที

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้